วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Raster

ข้อมูลแสดงลักษณะเป็นกริด (Raster Data)
            คือข้อมูลที่มีโครงสร้างเป็นช่องเหลี่ยม เรียกว่า จุดภาพ หรือ Grid cell เรียงต่อเนื่องกันในแนวราบ และแนวดิ่ง ในแต่ละจุดภาพสามารถเก็บค่าได้ 1 ค่า ความสามารถแสดงรายละเอียดของข้อมูลขึ้นอยู่กับขนาดของเซลล์ ณ จุดพิกัดที่ประกอบขึ้นเป็นฐานข้อมูลแสดงตำแหน่งชุดนั้น ค่าที่เก็บในแต่ละจุดภาพสามารถเป็นได้ทั้งข้อมูลลักษณะสัมพันธ์ หรือรหัสที่ใช้อ้างอิงถึงข้อมูลลักษณะสัมพันธ์ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูลก็ได้ Raster Data อาจแปรรูปมาจากข้อมูล Vector หรือแปรจาก Raster ไปเป็น Vector หรือแปรจาก Raster ไปเป็น Vector แต่เห็นได้ว่าจะมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นระหว่างการแปรรูปข้อมูล











การแปลงข้อมูล Vector เป็น Raster 
(จาก www.gis2me.com)
จุดเด่นของข้อมูลแบบ Raster คือ
    • มีโครงสร้างข้อมูลง่าย ๆ มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ทำให้การประมวลผลในระดับจุดภาพมีความสะดวก
    • การวางซ้อนและการรวมข้อมูลแผนที่กับข้อมูลที่รับรู้จากระยะไกลทำได้ง่าย
    • การวิเคราะห์ทางพื้นที่ในแบบต่าง ๆ ทำได้ง่าย
    • การทดสอบด้วยการจำลองสถานการณ์ทำได้ง่าย เพราะหน่วยพื้นที่แต่ละหน่วยมีรูปร่างและขนาดเท่ากัน
    • เทคโนโลยีมีราคาถูกและกำลังมีการพัฒนาอย่างจริงจัง
    • นอกจากนี้ข้อมูลแบบ Raster ยังมีความเหมาะสมกับการแทนลักษณะของพื้นผิว (Surface) ที่มีความต่อเนื่องกัน
จุดด้อยของข้อมูลแบบ Raster คือ
    • ข้อมูลกราฟิกมีขนาดใหญ่ ไฟล์มีขนาดใหญ่จึงใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมาก
    • การใช้ช่องกริดใหญ่เพื่อลดปริมาตรข้อมูลทำให้สูญเสียโครงสร้างข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์และเป็นการสูญเสียข้อสนเทศอย่างมาก
    • ไม่เหมาะสมในการแทนข้อมูลที่เป็นเส้นโค้ง หรือแทนตำแหน่งของจุดเพราะต้องใช้ 1 จุดภาพสำหรับตำแหน่ง 1 ตำแหน่ง
    • แผนที่แรสเตอร์ที่หยาบจะไม่สวยเท่าแผนที่ซึ่งเขียนด้วยเส้น
    • การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทำได้ยาก
    • การแปลงเส้นโครงแผนที่ต้องใช้เวลามาก เว้นแต่ใช้ขั้นตอนวิธีหรือฮาร์ดแวร์พิเศษ

2.2 ลักษณะข้อมูลที่ไม่อยู่ในเชิงพื้นที่ ประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ
1.    ข้อมูลเชิงปริมาณ
2.    ข้อมูลเชิงคุณภาพ
3.    ข้อมูลเชิงบรรยาย

Vecter

 ลักษณะข้อมูล
 ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ Vector และ Raster
      1 ข้อมูลแสดงทิศทาง (Vector Data) คือข้อมูลที่แสดงด้วย จุด เส้น หรือพื้นที่ ที่ประกอบด้วยจุดพิกัดทางแนวราบ (X , Y) และ/หรือ แนวดิ่ง (Z) หรือ Cartesian Coordinate System ถ้าเป็นพิกัดตำแหน่งเดียวก็จะเป็นค่าของจุด ถ้าจุดพิกัดสองจุดหรือมากกว่าจะเป็นค่าของเส้น ส่วนพื้นที่นั้นจะต้องมีจุดมากกว่า 3 จุดขึ้นไป และจุดพิกัดเริ่มต้นและจุดพิกัดสุดท้ายจะต้องอยู่ตำแหน่งเดียวกัน เช่น ถนน แม่น้ำ ขอบเขตการปกครอง โรงเรียน เป็นต้น
ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ ในรูปแบบเวกเตอร์จะมีลักษณะและรูปแบบ (Spatial Features) ต่าง ๆ กันพอสรุปได้ดังนี้ คือ
2.1.1.1 รูปแบบของจุด (Point Features) 
 

เป็นตำแหน่งพิกัดที่ไม่มีขนาดและทิศทาง จะใช้แสดงข้อมูลที่เป็นลักษณะของตำแหน่งใด ๆ เช่นที่ตั้งของโรงพยาบาลในสังกัด กทม. เป็นต้น

รูปแบบของข้อมูลประเภทจุด (Point)

2.1.1.2 รูปแบบของเส้น (Linear Features)






มีระยะและทิศทางระหว่างจุดเริ่มต้น ไปยังจุดแนวทาง (Vector) และจุดสิ้นสุด ประกอบไปด้วยลักษณะของเส้นตรง เส้นหักมุม และเส้นโค้ง เช่น ถนน ทางด่วน คลอง เป็นต้น


รูปแบบของข้อมูลประเภทเส้น (Line)

2.1.1.3 รูปแบบของพื้นที่ (Polygon Features)







มีระยะและทิศทางระหว่างจุดเริ่มต้น จุดแนวทาง (Vector) และจุดสิ้นสุด ที่ประกอบกันเป็นรูปหลายเหลี่ยมมีขนาดพื้นที่ (Area) และเส้นรอบรูป (Perimeter)









รูปแบบของข้อมูลประเภทพื้นที่ (Polygon)

           จุดเด่นของข้อมูลแบบ Vector คือ
    • แสดงโครงสร้างข้อมูลเชิงปรากฏการณ์ได้ดี ยังเหมาะสำหรับใช้แทนลักษณะของพื้นที่จึงมีขอบเขตคดโค้งทำให้สามารถแบ่งขอบเขตขอพื้นที่ได้อย่างชัดเจน
    • โครงสร้างข้อมูลกะทัดรัด ไฟล์ข้อมูลมีขนาดเล็กจึงใช้พื้นที่สำหรับการจัดเก็บน้อย
    • ความเชื่อมโยงทางโทโพโลยีสามารถทำได้ครบถ้วนด้วยการเชื่อมโยงแบบเครือข่าย
    • มีความถูกต้องในเชิงกราฟฟิก ซึ่งสามารถแทนข้อมูลได้อย่างมีความแม่นยำเชิงตำแหน่ง
    • สามารถทำการค้นคืน การแก้ไข และการวางนัยทั่วไปกับข้อมูลกราฟฟิกและลักษณะประจำได้
จุดด้อยของข้อมูลแบบ Vector คือ
    • โครงสร้างข้อมูลซับซ้อน
    • การรวมแผนที่แบบเวกเตอร์หลาย ๆ แผ่นหรือรวมแผนที่ Vector กับ Raster ด้วยวิธีวางซ้อนมีความยุ่งยากมาก
    • การทดสอบด้วยการจำลองสถานการณ์ทำได้ยาก เพราะแต่ละหน่วยของแผนที่มีโครงสร้างที่ต่างกัน
    • การแสดงและการเขียนเป็นแผนที่เสียค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะเมื่อต้องการแสดงสีและสัญลักษณ์ที่มีคุณภาพสูง
    • เทคโนโลยีชนิดนี้มีราคาแพง โดยเฉพาะถ้าต้องใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อน
    • การวิเคราะห์พื้นที่และการกรองรายละเอียดภายในรูปหลายเหลี่ยมเกือบเป็นไปไม่ได้

ระบบสารสนเทศ

การแบ่งชนิดของแผนที่
               
แผนที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
                1.
แผนที่แบบแบนราบ คือ แผนที่ซึ่งแสดงรายละเอียดทั่วๆ ไปของพื้นผิวโลกในทางราบเท่านั้นไม่แสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศ
                2.
แผนที่ภูมิประเทศ คือ แผนที่ซึ่งแสดงรายละเอียดทั่วๆ ไป รวมทั้งลักษณะความสูงต่ำของพื้นผิวโล
                3.
แผนที่ภาพถ่าย คือ แผนที่ที่ทำขึ้นจากการถ่ายภาพทางอากาศ ใช้สีสัญลักษณ์ ประกอบเพิ่มเติม สามารถทำได้รวดเร็วแต่อ่านยาก ไม่สามารถสังเกตความสูงต่ำของภูมิประเทศได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า
ชนิดของแผนที่ แบ่งได้หลายชนิด คือ
                1.
แบ่งตามรายละเอียดที่ปรากฏให้เห็นบนแผนที่ ได้แก่
                    1.1
แผนที่ลายเส้น เป็นแผนที่ ที่มีรายละเอียดปรากฏเป็นลายเส้น
                    1.2
แผนที่แบบผสม เป็นแผนที่ผสมระหว่างแผนที่ลายเส้นกับแผนที่ภาพถ่าย รายละเอียดพื้นฐานใหญ่ได้จากภาพถ่าย แต่สิ่งที่ต้องการเน้นแสดงด้วยลายเส้น เช่น ถนน อาคาร แม่น้ำ เป็นต้น
                2.
แบ่งตามขนาดมาตราส่วน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
                        2.1
แบ่งในทางภูมิศาสตร์
                                -
แผนที่มาตราส่วนเล็ก มีมาตราส่วนเล็กว่า 1 : 1,000,000
                                -
แผนที่มาตราส่วนปานกลาง มีมาตราส่วนตั้งแต่ 1 : 250,000- 1 : 1,000,000
                                -
แผนที่มาตราส่วนใหญ่ มีมาตราส่วนใหญ่กว่า 1 : 250,000
                        2.2
แบ่งในกิจการทหาร
                                -
แผนที่มาตราส่วนเล็ก มีมาตราส่วนเล็กว่า 1 : 600,000 และเล็กกว่า
                                -
แผนที่มาตราส่วนปานกลาง มีมาตราส่วนใหญ่กว่า 1 : 600,000 แต่เล็กกว่า 1 : 75,000
                                -
แผนที่มาตราส่วนใหญ่ มีมาตราส่วนใหญ่กว่า 1 : 75,000 และใหญ่กว่า
                3.
แบ่งตามลักษณะการใช้งาน
                        3.1
แผนที่ทั่วไป มีมาตราส่วนเล็กกว่า 1 : 1,000,000 แสดงเขตการปกครอง เช่น เขตประเทศ เขตจังหวัด ตลอดจนแสดงความสูงต่ำของภูมิประเทศโดยใช้แถบสีต่างๆ
                        3.2
แผนที่โฉนดที่ดิน เป็นแผนที่แสดงขอบข่ายการแบ่งซอยที่ดิน ระยะเนื้อที่ของแต่ละบริเวณ เป็นแผนที่มาตราส่วนใหญ่
                        3.3
แผนที่ผังเมือง ใช้แสดงอาคารสถานที่ของตัวเมือง ถนนหนทาง
                        3.4
แผนที่ทางหลวง ใช้แสดงถนนสายสำคัญ เป็นแผนที่มาตราส่วนเล็ก
                        3.5
แผนที่เศรษฐกิจ ใช้แสดงลักษณะการกระจาย หรือความหนาแน่นของประชากร การขนส่ง                      เขตอุตสาหกรรม แหล่งทรัพยากรต่างๆ เป็นต้น
                        3.6
แผนที่สถิติ ใช้แสดงรายการสถิติ เป็นแผนที่มาตราส่วนเล็ก โดยแสดงเป็นจุดหรือด้วยเส้น
(แสดงความกดอากาศ อุณหภูมิ)
                        3.7
แผนที่รัฐกิจ ใช้แสดงเขตการปกครอง ดินแดนหรือพรมแดน
                        3.8
แผนที่ประวัติศาสตร์ ใช้แสดงอาณาเขตสมัยต่างๆ ตลอดจนชาติพันธุ์
                        3.9
แผนที่เพื่อนิเทศ ใช้ในการโฆษณา หรือเพื่อแสดงนิทรรศการ
                4.
แบ่งตามกิจการทหาร
                        4.1
แผนที่ยุทธศาสตร์ มีมาตราส่วน 1 : 1,000,000 เพื่อให้คลุมพื้นที่ได้กว้างขวางใช้สำหรับการวางแผน
ทางทหาร
                        4.2
แผนที่ยุทธวิธี มีมาตราส่วน 1 : 50,000
                        4.3
แผนที่ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี มีมาตราส่วนมาก 1 : 250,000
                        4.4
แผนที่ที่ใช้ในกิจการทหารปืนใหญ่ มีมาตราส่วน 1: 25,000
                        4.5
แผนที่เดินเรือ เป็นแผนที่ที่ใช้ในการเดินเรือ ในทะเล ในมหาสมุทร แสดงความลึกของท้องน้ำ สันดอน แนวปะการัง ฯลฯ
                        4.6
แผนที่การบิน เป็นแผนที่ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในการเดินทางในอากาศ เพ่อให้ทราบถึงตำแหน่งและทิศทางของเครื่องบิน
องค์ประกอบของแผนที่
                1.
ชื่อของแผนที่
                2.
มาตราส่วนของแผนที่ คือ อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างระยะทางในแผนที่กับระยะทางจริงในภูมิประเทศ
                3.
สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมาย คือ รายละเอียดของสิ่งต่างๆ ของบนพื้นผิวโลกที่แสดงลงบนแผนที่ แบ่งออกเป็น 5 จำพวก
                        3.1
แหล่งน้ำ เช่น ลำธาร แม่น้ำ หนอง บึง ที่ลุ่มชายฝั่ง
                        3.2
สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ถนน ทางรถไฟ อาคาร ฯลฯ
                        3.3
ลักษณะพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ เช่น เขา ภูเขา
                        3.4
พืชพรรณ เช่น ป่า สวน ไร่นา
                        3.5
สิ่งที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ เช่น แหล่งทรัพยากร
                4.
สีที่ใช้ในแผนที่ ที่แสดงรายละเอียดบนแผนที่ สีที่ใช้เป็นมาตรฐาน มี 6 สี
                        4.1
สีดำ ใช้แสดงรายละเอียดที่เกิดจากแรงงานของมนุษย์ เช่น วัด โรงเรียน หมู่บ้าน
                        4.2
สีแดง ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นถนน
                        4.3
สีน้ำเงิน ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง บึง ทะเล ฯลฯ
                        4.4
สีน้ำตาล ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับความสูงและทรวดทรงของพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ
                        4.5
สีเขียว ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับที่ราบ ป่าไม้ บริเวณที่ทำการเพาะปลูก พืชสวน
                        4.6
สีเหลือง ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับที่ราบสูง
                        4.7
สีอื่นๆ บางโอกาสอาจใช้สีอื่นนอกจากที่กล่าวมาเพื่อแสดงรายละเอียดพิเศษบางอย่าง รายละเอียดเหล่านี้จะมีบ่งไว้ในรายละเอียดในแผนที่