ลักษณะของการตั้งถิ่นฐาน
การตั้งถิ่นฐาน สามารถจำแนกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ การตั้งถิ่นฐานในเมือง และการตั้งถิ่นฐานในชนบท - การตั้งถิ่นฐานในเมือง
- การตั้งถิ่นฐานในชนบท
การตั้งถิ่นฐานในเมือง
ถิ่นฐานใดจะมีลักษณะเป็นเมืองนั้น มีองค์ประกอบในการพิจารณาโดยทั่ว ๆ ไป คือจำนวนประชากร ความหนาแน่นของประชากรและอาชีพของประชากร สำหรับประเทศไทยมิได้กำหนดสัดส่วนแน่นอน แต่ใช้นิยามของคำว่า "เทศบาล" และ "สุขาภิบาล" แทน โดยถือว่าเขตเทศบาลและเขตสุขาภิบาลเป็นเขตเมืองซึ่งในชุมชนหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ดังนี้ ที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ที่โล่งเพื่อนันทนาการ สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา และสถาบันราชการ
เมื่อมนุษย์อยู่รวมกลุ่มกันเป็นเมือง หากไม่มีการวางแผนการเติบโตของเมืองแล้ว ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่อการดำรงชีวิต การวางแผนสำหรับการเติบโตของเมืองนี้เรียกว่า การวางผังเมือง ซึ่งนับเป็นกลไกที่จำเป็นต่อการปรับปรุงสภาพปัจจุบัน และเป็นแผนรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต องค์ประกอบที่นำมาใช้ในการวางผังเมืองมีดังนี้
ก. ปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น พื้นที่เป็นที่สูง ที่ลุ่มหรือมีการทรุดตัวของพื้นดิน
ข. การเพิ่มประชากร การจำกัดจำนวนประชากร และการกระจายตัวประชากรไปยังพื้นที่เป้าหมาย
ค. สังคมและเศรษฐกิจ เป็นการกำหนดขนาดของเมือง โดยนำปัจจัยทางเศรษฐกิจมาพิจารณาด้วยว่าเมืองควรมีขนาดเท่าใด ควรขยายไปในทิศทางใด เป็นต้น
ง. การใช้ประโยชน์ที่ดิน เมืองที่ขาดการวางผังและขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ย่อมขยายตัวออกไปอย่างไร้ทิศทางและเกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น แผ่นดินทรุด น้ำท่วม เป็นต้น การวางผังเมืองจำเป็นต้องกำหนดย่านการใช้ประโยชน์จากที่ดินตามลักษณะกิจกรรมและความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแล้วนำผังออกสู่การปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเมืองต่อไป
จ. สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมืองที่ปราศจากการป้องกันหรือควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อมย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์
เมื่อมนุษย์อยู่รวมกลุ่มกันเป็นเมือง หากไม่มีการวางแผนการเติบโตของเมืองแล้ว ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่อการดำรงชีวิต การวางแผนสำหรับการเติบโตของเมืองนี้เรียกว่า การวางผังเมือง ซึ่งนับเป็นกลไกที่จำเป็นต่อการปรับปรุงสภาพปัจจุบัน และเป็นแผนรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต องค์ประกอบที่นำมาใช้ในการวางผังเมืองมีดังนี้
ก. ปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น พื้นที่เป็นที่สูง ที่ลุ่มหรือมีการทรุดตัวของพื้นดิน
ข. การเพิ่มประชากร การจำกัดจำนวนประชากร และการกระจายตัวประชากรไปยังพื้นที่เป้าหมาย
ค. สังคมและเศรษฐกิจ เป็นการกำหนดขนาดของเมือง โดยนำปัจจัยทางเศรษฐกิจมาพิจารณาด้วยว่าเมืองควรมีขนาดเท่าใด ควรขยายไปในทิศทางใด เป็นต้น
ง. การใช้ประโยชน์ที่ดิน เมืองที่ขาดการวางผังและขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ย่อมขยายตัวออกไปอย่างไร้ทิศทางและเกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น แผ่นดินทรุด น้ำท่วม เป็นต้น การวางผังเมืองจำเป็นต้องกำหนดย่านการใช้ประโยชน์จากที่ดินตามลักษณะกิจกรรมและความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแล้วนำผังออกสู่การปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเมืองต่อไป
จ. สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมืองที่ปราศจากการป้องกันหรือควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อมย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์
การตั้งถิ่นฐานในชนบท
ในพื้นที่นอกเหนือจากเขตเทศบาลและสุขาภิบาลดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น เมื่อมีการตั้งถิ่นฐานเกิดขึ้นก็จะเรียกว่าการตั้งถิ่นฐานในชนบท ซึ่งสามารถจำแนกรูปแบบสำคัญได้เป็น ๒ รูปแบบ คือ
ก. การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม การตั้งถิ่นฐานแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้อยู่ในสังคมที่ใกล้ชิดกัน ซึ่งอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะของการเกษตร แหล่งน้ำ หรือเพื่อป้องกันอันตรายเป็นต้น
ก. การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม การตั้งถิ่นฐานแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้อยู่ในสังคมที่ใกล้ชิดกัน ซึ่งอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะของการเกษตร แหล่งน้ำ หรือเพื่อป้องกันอันตรายเป็นต้น
ข.การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย จะมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวหรือกลุ่มบ้านสองสามหลังตั้งกระจายห่างไกลจากเพื่อนบ้าน มักพบในบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญบางประการ ตัวอย่าง เช่นการจัดบริการสาธารณะ เช่น ถนน ไฟฟ้าเป็นต้น ซึ่งต้องลงทุนสูงกว่าในเขตที่อยู่อาศัยแบบรวมกลุ่ม
ที่มา